# รวมข้อมูลการท่องเที่ยว ภูมิภาคชิโกกุ(Shikoku) #
ภูมิภาคชิโกกุ(Shikoku) – เป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดาสี่เกาะหลักของญี่ปุ่น ประกอบด้วย 4 จังหวัดคือ โทกุชิมะ คากะวะ เอฮิเมะ โคจิ เกาะนี้มีพื้นที่ 18,783 ตารางกิโลเมตร ถูกล้อมรอบ 3 ด้านด้วยเกาะฮอนชูและเกาะคิวชู มีประชากรประมาณ 4.2 ล้านคน อาศัยอยู่กระจายตามที่ลุ่มชายฝั่งทะเล หากเทียบกับอีก 3 เกาะหลักของญี่ปุ่นแล้ว ชิโกกุมีความเงียบสงบและยังคงบรรยากาศแบบธรรมชาติไว้ได้ โดยที่ไม่ถูกกลืนโดยวัฒนธรรมสมัยใหม่ เกาะชิโกกุถูกเชื่อมต่อกับเกาะฮอนชูด้วยสะพานเซโตะโอฮาชิ ซึ่งเป็นสะพานหกสาย ใช้เกาะเล็ก ๆ 5 แห่งเป็นจุดเชื่อมต่อ ด้วยความยาวถึง 12.3 กิโลเมตร ทำให้สะพานแห่งนี้ เป็นหนึ่งในสะพานสองชั้นที่มีความยาวมากกว่าสะพานแห่งอื่น ๆ ในโลกเกาะ
เกาะชามิจิมะ(Shamijima) เดิมเป็นเกาะเล็กๆนอกชายฝั่งทะเลชิโกกุ ต่อมาเกิดพื้นที่ขนาดใหญ่เชื่อมต่อเกาะไว้ด้วยกันในปี 1967 ทำให้เกาะแห่งนี้กลายเป็นปลายสุดทิศใต้ของสะพานเซโตะ โอฮาชิ(Seto Ohashi Bridge) ซึ่งมีระยะทางยาว 9.4 กิโลเมตร เชื่อมต่อเกาะชิโกกุไปยังจังหวัดโอคายาม่าบนเกาะฮอนชู ปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ สวนสาธารณะ วัด ศาลเจ้า พิพิธภัณฑ์ และชายหาด พิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจมากที่สุดคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮิกาชิยาม่าไคอิเซโตอูจิ ที่สร้างขึ้นในปี 2005 จัดแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่ของ Higashiyama Kaii ซึ่งจะจัดแสดงหมุนเวียนตามฤดูกาล และมีงานนิทรรศการพิเศษจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
พิพิธภัณฑ์ศิลปะบ้านเบเนส(Benesse House) จัดแสดงนิทรรศการศิลปะสมัยใหม่ และยังเป็นโรงแรมรีสอร์ทบนชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของเกาะนาโอชิมะอีกด้วย ประกอบด้วยอาคารทั้งหมด 4 หลัง ได้แก่ อาคารพิพิธภัณฑ์ ห้องวงรี(The Oval) สวนสาธารณะ และชายหาด ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Ando Tadao อาคารหลักของบ้านเบนเนส คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะทันสมัยที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเหนือทะเล ภายในจัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆมากมายจากในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของเกาะนาโอชิมะ และสถาปัตยกรรมต่างๆบนเกาะ สำหรับผู้เข้าพักในโรงแรมสามารถเข้าชม พิพิธภัณฑ์และห้องวงรี(The Oval) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
พิพิธภัณฑ์ลีอูฟาน(Lee Ufan Museum) เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ที่เพิ่มขึ้นบนเกาะนาโอชิมะ ภายในจัดแสดงผลงานของศิลปินร่วมสมัยชาวเกาหลี Lee Ufan ที่มาทำงานเป็นอาจารย์สอนในประเทศญี่ปุ่น จุดสำคัญของพิพิธภัณฑ์ คือ เสาขนาดใหญ่ทำจากหิน คอนกรีต และแผ่นเหล็ก รวมถึงผลงานภาพวาดอื่นๆอีกด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่น Ando Tadao (ผู้ซึ่งออกแบบพิพิธภัณฑ์ศิลปะชิชู และบ้านเบนเนส) ซึ่งเป็นอาคารรูปทรงเรขาคณิต และมีพื้นที่เปิดโล่งเพื่อเน้นการนำเสนอศิลปะต่างๆได้อย่างลงตัว
พิพิธภัณฑ์ศิลปะชิชู(Chichu Art Museum) จัดแสดงศิลปะสมัยใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร สร้างบนเนินเขาที่สามรถมองเห็นวิวชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของเกาะนาโอชิมะอันงดงามได้อย่างชัดเจน อาคารพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย Tadao Ando ซึ่งผลงานส่วนใหญ่จัดแสดงอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ใช้แสงแดดธรรมชาติส่งให้เห็นผลงานศิลปะ เนื่องจากได้รับแรงบันดาลใจมาจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ล้อมรอบ ภายในแกลลอรี่จัดแสดงคอลเลกชั่นศิลปะเล็กๆ ได้แก่ จิตรกรรมฝาพนังขนาดใหญ่จาก Claude Monet เรียกว่า “Water Lilies”, ผลงานของ James Turrell ที่ใช้แสงเป็นสื่อกลาง รวมถึงห้อง “Open Sky” ที่เป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชั่น “Skyspaces” ที่ได้ถูกน้ำไปแสดงทั่วโลก(รวมถึงพิพิธภัณฑ์ศิลปะศตวรรษที่ 21 ในคานาซาว่าอีกด้วย) และในส่วนที่ลึกที่สุดของ พิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานของ Walter De Maria ที่มีชื่อว่า “Time/Timeless/No Time”
โรงละครคาบุกิคานามารุซะ(Kanamaruza Kabuki Theater) สร้างขึ้นในปี 1835 เป็นโรงละครคาบูกิแบบดั้งเดิมที่สมบูรณ์ที่สุด และเก่าแก่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันนี้ก็ยังใช้เป็นโรงจัดแสดงคาบูกิเหมือนเช่นเคย หากไม่มีการแสดงโรงละครจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเข้าสำรวจห้องโถง เวที และห้องแต่งตัว รวมถึงชั้นใต้ดินที่ใช้เปลี่ยนฉากและประตูลับด้วยแรงคน เพื่อความรวดเร็วในการเข้าและออกของนักแสดง
สวนริสึรินโคเอน(Ritsurin Koen) เป็นสวนที่มีภูมิทัศน์สวยงามที่สร้างขึ้นโดยขุนนางศักดินาท้องถิ่นในต้นสมัยเอโดะ ถือเป็น 1 ใน 4 สวนที่ดีที่สุดของประเทศ ร่วมกับสวนเคนโรคุเอน(Kenrokuen)ในคานาซาว่า, สวนไคราคุเอน(Kairakuen)ในมิโตะ และสวนโคราคุเอน(Korakuen)ในโอคายาม่า ภายในสวนประกอบด้วยสระน้ำ เนินเขา ต้นไม้ที่มีอายุยาวนาน และศาลาสวยงามที่แบ่งสวนออกเป็น 2 ฝั่ง คือ สวนสไตล์ญี่ปุ่นทางทิศใต้ และสวนสไตล์ตะวันตกทางทิศเหนือ สวนที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของป่าภูเขาชิอุน(Mount Shiun) มีฉากหลังที่สวยงามของภูเขาเพิ่มเข้ามาทำให้มีทัศนียภาพที่สวยงามยิ่งขึ้น
ศาลเจ้าโคโตฮิรากุ(Kotohiragu) หรือ Kompirasan เป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าคอมพิระซังต่างๆที่พบได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวเรือและการเดินเรือ ตั้งอยู่บนทางลาดของภูเขาโซซุ(Mount Zozu)ในโคโตฮิระ โดยจะต้องเดินขึ้นบันไดถึง 1,368 ขั้น หลายศตวรรษที่ผ่านมาศาลเจ้าแห่งนี้เป็นการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและชินโต จนกระทั่งถึงต้นสมัยเมจิ รัฐบาลได้แยกสองศาสนานี้ออกจากกัน แต่อย่างไรก็ตามตัวโครงสร้างอาคารและการตกแต่งยังคงเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงออก ถึงสองศาสนาที่รวมเป็นหนึ่งเดียว
ย่านเมืองเก่าโยไคจิ(Yokaichi Old Town) เรียงรายด้วยอาคารโบราณประมาณ 90 หลังคาเรือน บนถนนระยะทาง 600 เมตร เมืองอูจิโกะมีชื่อเสียงทางด้านการผลิตขี้ผึ้งสีขาวคุณภาพสูงในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ดังนั้นร้านค้าในทิ้งถิ่นต่างร่ำรวยมีบ้านพักใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นอาคารสไตล์เมจิ อาคาร 2 หลังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม บ้านพักอาศัยที่ใหญ่ที่สุด และน่าสนใจมากที่สุดคือ บ้านพักคามิฮางะ เป็นบ้านพักอาศัยเก่าแก่ของครอบครัวคามิฮางะ ตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าที่ประกอบด้วย อาคารขนาดใหญ่สไตล์ยุคเมจิหลายหลัง และพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมขี้ผึ้งของเมืองอูจิโกะ ภายในบ้านจัดแสดงเอกสารต่างๆ และหุ่นขี้ผึ้ง อธิบายขั้นตอนการผลิตขี้ผึ้งภาย นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว อาคารบ้านพักก็เป็นตัวอย่างบ้านโบราณที่ถูกดูแลรักษาไว้เป็นอย่าง
ดีปราสาทโคจิ(Kochi Castle) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทหลังเดิมของประเทศญี่ปุ่น ที่รอดจากสงครามและภัยพิบัติอื่นๆ สร้างขึ้นระหว่างปี 1601-1611 แต่อาคารหลักสร้างขึ้นในปี 1748 (ได้รับการสร้างขึ้นใหม่หลังจากไฟไหม้) ปราสาทแห่งนี้เป็นที่อาศัยของขุนนาง Yamauchi หรือ Tosa ผู้ปกครองพื้นที่รอบๆภูมิภาคนี้ในสมัยเอโดะ คุณลักษณะพิเศษของปราสาทแห่งนี้คือหอคอยหลัก(donjon) ซึ่งไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อทางการทหาร แต่ยังเป็นบ้านพักอาศัยอีกด้วย ซึ่งปราสาทแห่งอื่นส่วนใหญ่ขุนนางจะอาศัยอยู่อาคารพระราชวังที่แยกออกมาจากตัวปราสาท โครงสร้างภายในตกแต่งด้วยไม้ที่รักษาความเป็นเอโดะเอาไว้ และสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองจากชั้นบนของหอคอยปราสาทได้อีกด้วย
ปราสาทมัตสึยาม่า(Matsuyama Castle) เป็น 1 ใน 12 ปราสาทหลังเดิมของญี่ปุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ตั้งแต่ปี 1868 และยังเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีความซับซ้อนน่าสนใจแห่งหนึ่งอีกด้วย ตั้งอยู่บนภูเขาคาสึยาม่า(Mount Katsuyama) เนินเขาสูงชันใจกลางเมืองที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันกว้างไกลของเมืองมัตสึยาม่าคู่กับทะเล Seto Inland Sea พื้นที่รอบๆปลูกต้นซากุระกว่า 200 ต้น ซึ่งเหมาะแก่การชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนมีนาคม-ต้นเดือนเมษายนเป็นประจำทุกปี
ห้องอาบน้ำโดโงะออนเซนฮอนคัง(Dogo Onsen Honkan) เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของน้ำพุร้อนโดโงะ สร้างขึ้นในปี 1894 ในช่วงสมัยเมจิ เป็นอาคารไม้ภายในตกแต่งด้วยบันไดวน ทางเดิน และห้องต่างๆ ซึ่งห้องอาบน้ำแห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจในภาพยนตร์การ์ตูน “Spirited Away” ของสตูดิโอจิบลิ(Miyazaki)ที่ได้รับรางวัล ห้องอาบน้ำจะแบ่งห้องชายหญิง มีลักษณะแบบเก่าทำจากหิน ห้องอาบน้ำหลักบนชั้น 1 เรียกว่า Kami no Yu ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด ส่วนห้อง Tama no Yu เป็นห้องที่เล็กที่สุดตั้งอยู่บนชั้น 2
หุบเขาอิยะ(Iya Valley) เป็นที่เงียบสงบในหุบเขาริมแม่น้ำอิยะ ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของจังหวัดโทคุชิมะ เชื่อมต่อกับตัวเมืองด้วยเส้นทางถนนคดเคี้ยวและแคบๆในเทือกเขาที่ลาดชัน ซึ่งบริเวณที่ลึกที่สุดของหุบเขาอิยะเดินทางเข้าถึงได้ยาก นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์ประเพณีและวัฒนธรรมในชนบทแบบดั้งเดิม ปัจจุบันหุบเขาอิยะได้ถูกค้นพบใหม่อีกครั้ง และได้รับการส่งเสริมจาก Alex Kerr ผู้เขียน “Lost Japan” ผู้ที่หลงใหลและประทับใจในพื้นที่แห่งนี้หลังจากที่เขาได้มาเยือน
สะพานคาซูระบาชิ(Kazurabashi Bridge) ในอดีตเป็นสะพานแขวนที่สร้างจากเถาวัลย์สำหรับขนส่งสินค้าและขนย้ายผู้คนข้ามแม่น้ำเหนือหุบเขาอิยะ ตำนานกล่าวว่าสร้างขึ้นครั้งแรกโดยผู้ก่อตั้งนิกายชินกอน Kobo Daishi หรือโดยผู้ลี้ภัย Heike ในช่วงหลังพ่ายแพ้สงคราม Gempei War(1180-1185) ปัจจุบันเหลือสะพานเพียง 13 แห่งที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ สะพานอิยะคาซูระบาชิ เป็นสะพานที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุด ขนาดยาว 45 เมตรทอดตัวเหนือแม่น้ำอิยะที่อยู่ในใจกลางหุบเขาสูง 14 เมตร โดยจะมีการสร้างใหม่ทุกๆ 3 ปี เพื่อความปลอดภัยจึงเสริมด้วยสายเคเบิ้ลเหล็กที่ซ่อนไว้ในเถาวัลย์ยึดกับต้นสนซีดาร์ สะพานแห่งนี้สามารถข้าไปได้ทางเดียวเท่านั้น
รูปปั้นเด็กมานิคิน(Manikin Peeing Boy Statue) บริเวณขอบหน้าผาสูง 200 เมตร เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเด็กผู้ชายกำลังฉี่ลงไปในหุบเขา เบื้องหลังเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม และไม่ไกลจากโรงแรมอิยะออนเซน
น้ำวนนารูโตะ(Naruto Whirlpools) เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งทะเลของช่องแคบนารูโตะ จึงก่อให้เกิดประมาณน้ำจำนวนมหาศาลถูกเคลื่อนย้ายระหว่างทะเล Seto Inland Sea กับมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างระดับน้ำสูงและต่ำ ตามความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำจะเกิดขึ้นทุกๆ 6 ชั่วโมงซึ่งจะพบได้ในช่วงเช้า 1 ครั้ง และช่วงบ่ายอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ชั่วโมง ขนาดของน้ำวนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกระแสน้ำ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีขนาดใหญ่ในช่วงฤดูร้อนมากกว่าฤดูหนาว และน้ำวนขนาดใหญ่ที่สุดมักจะเกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ ภายในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะทำให้เกิดน้ำวนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ถึง 20 เมตร น้ำวนที่นี่ไม่เป็นอันตรายต่อการล่องเรือ นักท่องเที่ยวจะมองเห็นน้ำวนได้อย่างใกล้ชิดด้วยการล่องเรือที่ให้บริการ
บ้านเยอรมัน(German House) หลังจากสิ้นสุดสงคราม มิตรภาพระหว่างเมืองนารูโตะและเยอรมันยังคงแน่นแฟ้นอยู่และสร้างบ้านไว้เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาให้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงเกี่ยวกับนักโทษค่าย Bando Camp ซึ่งประกอบด้วยโมเดล และภาพถ่ายต่างๆพร้อมคำบรรยายรายละเอียดเป็นภาษาญี่ปุ่น เยอรมัน และอังฤษ
วัดเรียวเซนจิ(Ryozenji Temple) เป็นวัด 1 ใน 88 แห่งบนเส้นทางแสวงบุญชิโกกุอันโด่งดัง ตามรอยท่าน Kobo Daishi ผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายชินกอน ในแต่ละปีจะมีผู้แสวงบุญจำนวนมากเริ่มต้นและสิ้นสุดการเดินทางที่ด้านนอกของชิโกกุ ภูเขาโคยะซาน(Koyasan) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดใหญ่ของนิกายชินกอน ใกล้ๆกับวัดเรียวเซนจิ ผู้ที่เดินทางแสวงบุญจะแต่งตัวด้วยเสื้อสีขาว หมวกฟาง ไม้เท้า และอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น
พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ(Otsuka Museum of Art) สร้างขึ้นในสวนสาธารณะนารูโตะเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปีของกลุ่มบริษัทยาโอสึกะ(Otsuka Pharmaceutical Group) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ภายในจัดแสดงศิลปะตะวันตกขนาดเท่าของจริงตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงศตวรรษที่ 20 รวมถึงผลงานของ Michelangelo, El Greco, Goya, Monet และ Piccasso อีกด้วย นอกจากผลงานศิลปะภาพวาดกว่า 1.000 ชิ้นแล้ว ยังมีแทนบูชา สุสาน และโบสถ์ซิสทีน(Sistine Chapel) ภาพวาดที่ได้รับการวาดซ้ำลงบนแผ่นเซรามิก มีเทคนิคพิเศษเพื่อรักษาสีและรูปร่างผ่านระยะเวลามาถึง 2,000 ปี ในบริเวณสวนด้านนอกของ พิพิธภัณฑ์ที่กว้างขวางและสวยงาม
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งชิโกกุมูระ(Shikoku Mura) ตั้งอยู่บริเวณฐานของภูเขายาชิมะ(Yashima) เป็นสวนสาธารณะบนเนินเขาที่สวยงามน่ารื่นรมย์ที่จัดแสดงนิทรรศการอาคารแบบดั้งเดิมต่างๆที่ถูกย้ายจากพื้นที่บนเกาะชิโกกุมารวมกันไว้ที่นี่ อาคารส่วนใหญ่มีอายุมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และสมัยเมจิ เช่น บ้านไร่ โกดัง และเครื่องมือผลิตสินค้าแบบดั้งเดิม(น้ำตาล และซอสถั่วเหลือง) นอกจากนี้ยังมีประภาคาร โรงละครคาบูกิที่ไว้ใช้จัดแสดงละครเป็นครั้งคราว อาร์ตแกลลอรี่ขนาดเล็กจัดแสดงภาพวาด ประติมากรรมแบบทันสมัยโดยศิลปินจากทั่วโลก และสะพานแขวนทำจากเถาวัลย์กับไม้เสริมด้วยเหล็กที่เป็นที่จุดนิยมมากที่สุด ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสะพานแห่งหนึ่งที่อยู่ใน Iya Valley จังหวัดโทคุชิมะ
ภูเขาโกไดซัง(Mount Godaisan) เป็นภูเขาเล็กๆทางทิศตะวันออกของเมืองโคจิ ชื่อของภูเขาแห่งนี้ตั้งตามชื่อของพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากประเทศจีน และยังก่อตั้งวัดจิคุรินจิ(Chikurinji Temple) วัดลำดับที่ 31 (ในจำนวน 88 วัด) ของเส้นทางแสวงบุญชิโกกุ บริเวณวัดประกอบด้วยห้องโถงเรียงลำดับกัน และเจดีย์ห้าชั้นอันงดงาม ในหอสมบัติเป็นสถานที่เก็บพระพุทธรูปหลายองค์ที่มีความสำคัญต่อวัด โดยมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยสำหรับการเข้าชม