ReadyPlanet.com
dot dot
Japan Guide
dot
dot
dot

dot
dot
อยากไปไหนบอก!!!
dot
dot
ทัวร์ญี่ปุ่น (เลือกเส้นทาง)
dot
bulletPROMOTION >>เหมา15ท่าน
bulletHOKKAIDO >>ฮอกไกโด
bulletTOHOKU >>เซนได-นิกโก้
bulletKANTO >>โตเกียว-ฟูจิ
bulletTAKAYAMA >>ทาคายาม่า
bulletGOLDEN ROUTE >>โอซาก้า
bulletKYUSHU >>คิวชู
dot
เราบริการท่านอย่างไร?
dot
bulletให้ใครบริการท่านที่ญี่ปุ่น
bulletให้ท่านพักแบบไหนที่ญี่ปุ่น
bulletให้ท่านทานอะไรที่ญี่ปุ่น
bulletให้ท่านนั่งรถแบบไหนที่ญี่ปุ่น
bulletบริการก่อนเดินทาง
dot
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
dot
bulletวีซ่าญี่ปุ่น
bulletอัตราแลกเปลี่ยน
bulletหนังสือเดินทาง
bulletสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น
bulletศูนย์รับยื่นขอวีซ่า
bulletตรวจสอบสภาพอากาศ
bulletเตรียมตัวเดินทางไปญี่ปุ่น
bulletส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น JNTO
dot
แนะนำสถานที่เที่ยวน่าสนใจ
dot
bulletภูมิภาคฮอกไกโด (Hokkaido)
bulletภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku)
bulletภูมิภาคคันโต (Kanto)
bulletภูมิภาคชุบุ (Chubu)
bulletภูมิภาคคันไซ (Kansai)
bulletภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku)
bulletภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku)
bulletภูมิภาคคิวชู (Kyushu)
bulletภูมิภาคโอกินาว่า (Okinawa)
dot
แบนเนอร์สำคัญ
dot




ภูมิภาคคันไซ (Kansai)

# รวมข้อมูลการท่องเที่ยว คันไซ(Kansai) #

ภูมิภาคคันไซ(Kansai) – เป็นภูมิภาคที่มีจุดเด่นทั้งศิลปะและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมานานนับพันปีเพราะเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงในอดีตของญี่ปุ่นถึง 2 เมืองคือ นะระ(Nara) และ เกียวโต(Kyoto) และในปัจจุบันภูมิภาคแห่งนี้เป็นที่ตั้งของมหานครที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น คือ เมืองโอซาก้า(Osaka)อีกด้วย 

ภูมิภาคคันไซประกอบด้วยจังหวัดทั้งหมด 6 จังหวัดมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายและมากมาย เช่น ปราสาทฮิเมจิที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น, ทะเลสาบบิวะโกะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น, แหล่งรวมวัดและศาลเจ้าโบราณและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมต่างๆมากที่เมืองเกียวโต รวมถึงสวนสนุกยูนิเวอร์ซัลสตูดิโอ สวนสนุกระดับโลกจากฮอลลีวู้ดที่เมืองโอซาก้า

สะพานโทเก็ตสึเคียว(Togetsukyo Bridge) เป็นเสมือนสัญลักษ์ของอาราชิยาม่า ถูกสร้างขึ้นในสมัยเฮอันและมีการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา สะพานนี้มีความสวยงามกับบรรยากาศที่มีทิวเป็นภูเขาสูงใหญ่และแม่น้ำสายยาว ที่ทั้งสองฝั่งมีมีการปลูกต้นซากุระเรียบแม่น้ำตลอดทาง ทำให้เป็นจุดชมซากุระที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง เมื่อข้างสะพานไปจะเป็นเหมือนเกาะเล็กๆที่อยู่กลางแม่น้ำ ภายในเกาะเป็นร้านขายอาหาร ขายสินค้า ผู้คนนิยมมาเดินเล่นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงเทศกาลฮานามิหรือฤดูชมซากุระ


รถไฟชมวิวซากาโน่(Sagano Romantic Railway) หรือที่รู้จักกันในชื่อ รถไฟสายโรแมนติค หรือซากาโน่ โทรอคโค่ (Sagano Torokko) เป็นรถไฟที่นั่งเที่ยวชมบรรยากาศที่สวยงามเรียบแม่น้ำโฮซุกาว่า (Hozugawa River)เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของรถไฟขบวนนี้ เนื่องจากเป็นรถไฟแบบโบราณ วิ่งผ่านภูเขาช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ระยะทางกว่า 7 กิโลเมตร ตลอดเส้นทางจะพบกับหุบเขาสลับซับซ้อนและบ้านเรือน ชนบทของเมืองคาเมโอกะ รถไฟซากาโน่นี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีทั้งหุบเขา แต่ในช่วงฤดูหนาวรถไฟจะหยุดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย


สวนป่าไผ่(Bamboo Groves) เป็นเส้นทางเดินเล็กๆที่ตัดผ่านในกลางสวนป่าไผ่ สามารถเดินเล่นหรือขี่จักรยายผ่านก็ได้ ให้บรรยากาศที่แปลกและหาได้ยาก ยิ่งถ้าช่วงไหนที่มีแสงอาทิตย์รอดผ่านตัวป่าไผ่ลงมายังพื้นด้านล่างก็จะยิ่งสวยมาก โดยเฉพาะถ้ามีลมพัดมาพร้อมกันก็จะเป็นเสียงกิ่งก้านของต้นไผ่กระทบกันไปมา บริเวณใกล้ๆจะเป็นร้านขายของพื้นเมืองที่ทำมาจากต้นไม้ เช่น ตะกร้าไม้ไผ่, ถ้วย, กล่องใส่ของ หรือเสื้อเสื้อสานจากไผ่ เป็นร้านดั้งเดิมของคนท้องถิ่น


ศาลเจ้าเทพอินาริ(Fushimi Inari Shrine) หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิสีแดง ซึ่งเสาโทริอิเหล่านี้ มาจากการบริจาค ทั้งจากคนและองค์กรต่างๆ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ ที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักสิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย(บ้างก็ว่าท่านชอบแปลงร่างเป็นจิ้งจอก) จึงสามารถพบเห็นรูปปั้นจิ้งจอกมากมายด้วยเช่นกัน ศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีก คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว


วัดคินคะคุจิ(Kinkakuji) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่าวัดทอง เนื่องจากที่วัดนี้จะมีอาคารหลักเป็นสีทองเกือบทั้งหลังตั้งโดดเด่นอยู่กลางน้ำ ทำให้เเกิดเป็นเงาสะท้อนกับพื้นน้ำเบื้องหน้า จนเกิดเป็นภาพที่สวยงามกลายเป็นอีกสัญญลักษณ์หนึ่งของเมืองเกียวโต วัดนี้แต่เดิมสร้างเพื่อใช้เป็นบ้านพักของท่านโชกุนอาชิกาก้า โยชิมิสุ และท่านมีความตั้งใจยกบ้านพักแห่งนี้ให้เป็นวัดนิกายเซนภายหลังจากที่ท่านเสียชีวิต และวัดคินคะคุจิยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายชายของโชกุนในเวลานั้นสร้างวัดกินคะคุจิหรือวัดเงินขึ้นด้วย วัดคินคะคุจิมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่งดงาม โดยเฉพาะมุมด้านหน้าใกล้กับทางเข้าวัดซึ่งเป็นภาพที่วัดสีทองอร่ามที่มีสวนอยู่โดยรอบเป็นเงาสะท้อนกับน้ำในสระ เป็นมุมที่มีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจกันเยอะที่สุด 


ศาลเจ้าเฮอัน(Heian Shrine) ศาลเจ้าที่มีสัญลักษณ์เป็นประตูโทริอิยักษ์สีแดงตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ศาลเจ้าเฮอันแฟ่งนี้เป็นศาลเจ้าที่มีความงดงามและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นแห่งหนึ่งของเกียวโต ถึงแม้ศาลเจ้าเฮอันจะไม่ได้มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายร้อยปีเหมือนศาลเจ้าอื่นๆของเกียวโต แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ระลึกถึงจักรพรรดิคามมุ (Emperor Kammu) และจักรพรรดิ์โคเมอิ (Emperor Komei) ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์แรกและองค์สุดท้ายของเกียวโต อาคารหลักของศาลเจ้านี้ มีต้นแบบมาจากอาคารเดิมที่อยู่ในพระราชวังสมัยยุคเฮอันซึ่งมีขนาดเล็กกว่าของจริง บริเวณด้านหลังของศาลเจ้านี้  มีสวนขนาดใหญ่ที่โอบล้อมบริเวณวัด บ่อน้ำที่ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น และยังมีการปลูกต้นซากุระเรียงรายอยู่มากมาย ทำให้ในช่วงที่มีเทศกาลชมดอกซากุระในเดือนเมษายนนั้น สวนแห่งนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้คนนิยมมาชมดอกซากุระ


วัดคิโยะมิซุ หรือวัดน้ำใส(Kiyomizu-dera) เป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 780 มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ ไหลผ่านทำให้เป็นที่มาของชื่อ “วัดน้ำใส” นอกจากนี้ยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลกอีกด้วย อาคารที่มีชื่อเสียงของวัดแห่งนี้ก็คืออาคารไม้ขนาดใหญ่ เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย นอกจากนี้อาคารไม้ของวัดคิโยะมิซุสร้างขึ้นโดยไม่มีการใช้ตะปูตอกแม้แต่ตัวเดียวในการก่อสร้างวัดวัดคิโยะมิซุนั้นมีอาคารทั้งหมด 9 อาคาร โดยทางวัดจะมีการบูรณะและซ่อมแซมอาคารเหล่านี้ที่ละอาคารเรื่อยมา เพื่อคงความสวยงามไว้ให้ผู้คนได้เยี่ยมชม

 

ย่านมินามิ นัมบะ (Minami Namba) และย่านชินไซบาชิ(Shinsaibashi) เป็นย่านศูนย์กลางการช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโอซาก้าและภูมิภาคคันไซ ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟนัมบะและสถานีรถไฟชินไซบาชิ เป็นสถานที่รวบรวมแหล่งบันเทิงต่างๆ ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้ามากมายให้ได้เลือกช้อป สามารถเดินทางได้อย่างง่ายดายโดยรถไฟใต้ดิน หรือรถบัสประจำทาง 

แหล่งช้อปปิ้งในย่านนี้ได้แก่

1. โดทงโบริ หรือดงโทโบริ(Dotonbori) หนึ่งในสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่โด่งดังของโอซาก้า เป็นแหล่งรวมร้านอาหารมากมายที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ถนนแห่งนี้จะเลียบริมคลองโดทงโบริ และยังมีทั้งร้านค้า และแหล่งบันเทิงอีกมากมาย ในช่วงกลางคืนก็จะเปิดไฟประดับประดาสวยงามป้ายร้านค้าต่างๆ รวมไปถึงป้ายนักวิ่งกูลิโกะ(Glico Running Man sign) และปูคานิโดราคุ(Kani Doraku crab sign)ที่เป็นสัญญลักษณ์ของเมืองโอซาก้าด้วย

2. แหล่งช้อปปิ้งชินไซบาซึ Shinsaibashi Shopping Arcade บริเวณแหล่งช้อปปิ้งแห่งนี้มีความยาวประมาณ 600 เมตร เต็มไปด้วยร้านค้าปลีก ร้านเฟรนไชส์ ร้านเครื่องสำอางค์ ร้านรองเท้า กระเป๋า นาฬิกา ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านเสื้อผ้าสตรีทแบรนด์ทั้งญี่ปุ่นและต่างประเทศ เช่น Zara H&M Beans ABC Mart เป็นต้น เรียกว่ามีทุกอย่างที่ต้องการรวมกันอยู่บริเวณนี้

3. อะเมะริคามูระ Amerikamura หรือ อะเมะมูระ Amemura เป็นแหล่งแฮงค์เอ้าของวัยรุ่นโอซาก้า คล้ายกับย่านฮาราจูกุของโตเกียว ย่านนี้ก็จะได้พบกับแฟชั่นการแต่งตัวของวัยรุ่น และวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น มีบรรยากาศครึ้กครื้น ระหว่างทางมีร้านกาแฟ เสื้อผ้า และร้านขายของต่างๆมากมาย 

4.ย่านเด็นเด็น Den Den Town ตั้งอยู่ในพื้นที่ Nipponbashi เป็นย่านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คล้ายกับย่าน Akihabara ของโตเกียว ซึ่งสามารถต่อรองราคาสินค้าได้ดีกว่า นอกจากนี้ยังมีการ์ตูนมังงะ อนิเมะ และคอสเพลย์คาเฟ่ต่างๆรวมอยู่ที่นี่ ร้านค้าเปิดเป็น 2 ช่วง คือ 10:00-11:00 และ 19:00-20:00

5.สวนนัมบะ Namba Parks ออกแบบการสร้างให้คล้ายกับหุบเขา ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถนั่งพักผ่อนในสวนแบบธรรมชาติท่ามกลางภูมิทัศน์เมืองใหญ่ มีห้างสรรพสินค้ากว่า 120 ร้าน รวมทั้งโรงภาพยนตร์ อัฒจรรย์ และสวนดาดฟ้า บนชั้น 6 มีร้านอาหารจำนวนมากเปิดให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น อาหารเกาหลี อาหารอิตาเลียน อาหารเวียดนาม และอื่นๆ ร้านค้าเปิดเวลา 11:00-21:00 ร้านอาหารเปิดเวลา 11:00-23:00


ย่านชินเซไก(Shinsekai) ที่แปลว่า “โลกใหม่” ของโอซาก้า ที่มีหอคอยซึเทนคาคุ(Tsutenkaku)เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของย่านชินเซไกนี้ตั้งอยู่ตรงกลาง บริเวณนี้ได้มีการจัดนิทรรศการขึ้นโดย National Industrial Exposition ภายหลังจากหมดงานเทศกาลลงย่านนี้ก็ได้ถูกพัฒนาต่อไปอีกด้วยการสร้างหอคอย สวนสาธารณะ โรงหนัง และสวนสนุก ผังเมืองทางตอนเหนือของย่านชินเซไกนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากเมืองปารีส ส่วนในตอนใต้นั้นถูกสร้างตามเกาะโคนี่ย์ในนิวยอร์ค อาหารขึ้นชื่อของย่านนี้ที่ห้ามพลาดก็คือ คุชิคาสึ(kushikatsu) ของทอดเสียบไม้ มีทั้ง ไก่, เนื้อวัว, ฟักทอง และหน่อไม้ รวมถึงของหวานก็มีกล้วยและไอศกรีมทอดด้วยเช่นกัน ร้านส่วนใหญ่จะเปิด 24 ชั๋วโมง และจะคึกคักมากเป็นพิเศษในตอนหัวค่ำ บริเวณนี้ยังมีถนนแคบๆที่เรียกกันว่า จันจัน โยโกะโช(Jan Jan Yokocho)ที่เป็นแหล่งรวมร้านกินดื่มสำหรับคนญี่ปุ่น เปิดไฟร้านเรียกแขกคึกคัก มีอาหารและขนม และกับแกล้มให้ลองชิมกันมากมาย และแถวๆนี้ยังมีร้านขายของที่ระลีกให้เลือกช้อปกันอีกหลายร้าน


ปราสาทโอซาก้า(Osaka Castle) เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองโอซาก้า เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวหลักที่ใครมาเที่ยวโอซาก้าก็ต้องเดินทางมาที่นี่ด้วย หอคอยปราสาทจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ชั้น ตัวปราสาทถูกล้อมรอบด้วยกำแพงหินคอนกรีต, คูน้ำ และสวนนิชิโนมารุ ที่มีการปลูกต้นซากุระกว่า 600 ต้น ทำให้ในช่วงเดือนเมษายนจึงเป็นแหล่งชมซากุระที่โด่งดังเพราะฉากด้านหลังของสวนแห่งนี้จะมองเห็นภาพปราสาทโอซาก้าที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ปราสาทโอซาก้าถูกสร้างแทนที่วัดอิชิยาม่า ฮอนกันจิ ที่ได้ถูกทำลายโดยโอดะ โนบุนากะ เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ท่านโทโยมิ ฮิเดโยชิ ผู้สร้างปราสาทตั้งใจที่จะให้ปราสาทแห่งนี้เป็นศูนย์กลางใหม่ของญี่ปุ่นภายใต้การปกครองของท่าน ภายหลังการสร้างเสร็จก็ได้กลายเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในขณะนั้น แต่หลังจากที่ท่านฮิเดโยชิเสียชีวิตลงไม่กี่ปี ปราสาทได้ถูกโจมตีและทำลายโดยทหารของโทคุกาว่า และได้มีการสร้างปราสาทขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1620 แต่ต่อมาหอคอยของปราสาทก็ได้ถูกฟ้าผ่าและไฟไหม้ในปี 1665 ภายหลังก็ได้มีการซ่อมแซมทั้งภายในและภายนอก จนกระทั่งปัจจุบันได้มีการสร้างลิฟท์เพื่อให้สามารถขึ้นไปชมปราสาทและพิพิธภัณฑ์ด้านบนได้ง่ายขึ้น



ยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์ เจแปน(Universal Studios Japan, USJ) เป็นสวนสนุกแห่งแรกของยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์ ที่เปิดในเอเชีย เปิดทำการเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2001 เป็นสวนสนุกที่มีคนมาเที่ยวมากเป็นอันดับสอง รองจาก Tokyo Disney Resort ภายในยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์ มีทั้งหมด 8 โซน: Hollywood, New York, San Francisco, Jurassic Park, Lagoon, Waterworld, Amity Village และ Universal Wonderland ผู้เข้าชมสามารถเพลิดเพลินไปกับเครื่องเล่นต่างๆ ตั้งแต่เครื่องเล่นสำหรับเด็กๆไปจนถึงรถไฟเหาะที่หวาดเสียวสุดๆ นอกจากนี้ยังมีหนัง 3 มิติ อย่างเช่น Spiderman, Back to the Future, Terminator 2, Jurassic Park และเรื่องใหม่ล่าสุดอย่าง Harry Potter นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายรูปคู่กับตัวการ์ตูนยอดฮิตต่างๆ เช่น สนู๊ปปี้, เฮลโล คิตตี้, เซซามีสตรีท ซึ่งในทุกๆวันจะมีการแสดงต่างๆ และเหล่าบรรดาตัวการ์ตูนเหล่านี้ก็จะร่วมเดินขบวนพาเหรดไปตามถนนในสนุก เป็นที่ชื่อชอบอย่างมากของเด็กๆภายนอกสวนสนุกนั้น จะมี Universal Citywalk Osaka ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ที่มีโรงแรม ร้านค้า ร้านอาคารจำนวนมาก รวมทั้งร้านที่ขายสินค้าของยูนิเวอร์ซัล สตูดิโอส์และของที่ระลึกของเมืองโอซาก้า และใกล้ๆกันก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ทาโกะยากิ Osaka Takoyaki Museum มีร้านทาโกะยากิชื่อดังของโอซาก้ามาเปิดให้ได้ลิ้มลองรสชาติของทาโกะยากิรสดั้งเดิม ของกินขึ้นชื่อของโอซาก้า ที่ได้รับการโหวตจากชาวเมืองว่าเป็นสุดยอดร้านทาโกะยิกิ รวมกันมาเปิดอยู่ที่แล้ว พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 4 ของห้างแห่งนี้


นารา(Nara) เมืองแห่งพระใหญ่และฝูงกวาง นาราเคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะที่เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของราชวงศ์ยามาโต้ จนกระทั่งเมืองหลวงถูกย้ายในปี 784 ที่เมืองนารามีวัดโทไดจิ ที่มีชื่อเสียงมากจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่หรือหลวงพ่อโต และมีศาลเจ้าคาซูงะตั้งอยู่ในสวนสาธารณะนารา ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง บริเวณภายในสวนมีกลางอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจึงทำให้สวนแห่งนี้เป็นเสมือที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้คน เมืองหลวงเก่าแก่แห่งนี้มีวัดและศาลเจ้ามากมายซึ่งบางแห่งได้รับการจดทะเบียนเป็นมรกดโลก เช่น วัดโฮริวจิ ซึ่งเป็นวัดไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ในช่วงซากุระบานนั้นภูเขาทางตอนใต้ของนารา เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการชมซากุระ นั่นก็คือภูเขาโยชิโนะ ด้านบนเขานั้นสามารถที่จะมองเห็นต้นซากุระหลายพันต้นเรียงรายออกดอกให้ชมอย่างสวยงาม


 

วัดโทไดจิ(Todaiji) หรือ ไดบุตสึ(Daibutsu of Nara) เป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น เปรียบเสมือนศูนย์กลางของวัดทั้งหมดในประเทศและมีอิทพลเป็นอย่างมากในยุคนั้น เพื่อลดบทบาทและอิทธิพลของวัดต่อรัฐบาลลง จึงได้มีการย้ายเมืองหลวงจากนาราไปยังนากาโอกะในปี 784 อาคารหลักของวัดเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จริงๆแล้วอาคารหลังนี้มีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของอาคารดั้งเดิมเท่านั้น ภายในเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตหรือ ไดบุตสึเดน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีความสูงถึง 15 เมตร อีกจุดที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมอย่างมากก็คือ เสาร์ไม้ยักษ์ ซึ่งฐานขนาดรอบเสาร์นี้มีขนาดเท่ากันรูจมูกของหลวงพ่อโต และด้านล่างของเสาร์จะเป็นช่องขนาดไม่ใหญ่มาก มีความเชื่อว่าหากใครสามารถรอดผ่านช่องนี้ไปได้ก็จะสามารถตรัสรู้ได้ในชาติหน้า ที่ประตูทางเข้าไม้ขนาดใหญ่ด้านหน้านั้น จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่เฝ้าประตูอยู่ทั้งสองข้าง และที่ด้านหน้าของประตูก่อนเข้าวัดนั้นจะมีกวางอยู่จำนวนมาก หากใครต้องการให้อาหารกวางก็สามารถซื้อขนมเซนเบ้ (senbei) เป็นขนมสำหรับกวางโดยเฉพาะ มีร้านจำหน่ายอยู่ใกล้ๆกัน ราคาห่อละ 150 เยน


ปราสาทฮิเมจิ(Himeji Castle) ถือว่าเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น เนื่องจากปราสาทนี้ยังไม่เคยถูกทำลายมาก่อน ทั้งในยุคที่มีสงคราม ไฟไหม้ หรือการเกิดแผ่นดินไหว ทำให้ยังคงรูปแบบดั้งเดิมของตัวปราสาทเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ได้รับการบันทึกเป็นมกดกโลกจากยูเนสโก้ และเป็น 1 ใน 4 ปราสาทที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีอาคารน้อยใหญ่อยู่ภายในมากถึง 80 อาคารที่เชื่อมต่อกันทั้งหมด มีกำแพงและประตูกั้นแต่ละส่วน นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาถึงจะผ่านประตู Otemon เดินตามทางมาเรื่อยๆจะเจอกับสวนที่มีต้นซากุระมากมายและเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของปราสาทฮิเมจิคู่กับต้นซากุระด้วย หลังจากนั้นที่สุดทางเดินจะเจอกับตู้ขายตั๋วสำหรับเข้าไปในบริเวณของปราสาทชั้นใน ภายในปราสาทจะมีบันไดแคบๆสำหรับเดินขึ้นและลง ที่ชั้นบนสุดของหอคอยปราสาทจะมีช่องสำหรับดูวิวได้รอบทิศทาง ทำให้มองเห็นอาณาบริเวณของปราสาททั้งหมดและไกลออกไปที่ตัวเมืองฮิเมจิด้วย ปราสาทฮิเมจิเพิ่งจะผ่านการรีโนเวทครั้งใหญ่มาเมื่อปี 2015 ทำให้สภาพของปราสาทตอนนี้สวยงามและสมบรูณ์มาก



บ่อน้ำพุร้อนอะริมะ(Arima Onsen) เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี มีทั้งบ่อสีแดงสนิมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบ่อน้ำพุร้อนอะริมะ ที่มีชื่อเรียกว่า "บ่อทอง" และบ่อที่มีน้ำใสไม่มีสี ที่มีชื่อเรียกว่า "บ่อเงิน" ผู้มาท่องเที่ยวสามารถสัมฟัสกับการแช่ออนเซ็นบ่อน้ำพุร้อนภายในโรงแรมที่พักสไตล์ที่ญี่ปุ่น หรือ เรียวกังได้ หรือจะเลือกใช้จ่ายเพียงการเข้าแช่บ่อน้ำร้อนอย่างเดียวก็สามารถทำได้



ศาลเจ้าฮอนงุไทชะ(Hongu Taisha) เป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงของคุมาโนะ และเป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าคุมาโนะกว่า 3,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น แรกตั้งอยู่ที่ Oyu no Hara ต่อมาได้ย้ายมาตั้งอยู่ในพื้นที่ปัจจุบันที่ห่างจากที่เดิมไป 1 กิโลเมตร หน้า Oyu no Hara มีประตูใหญ่โทริอิตั้งอยู่ สูง 33 เมตร

บริเวณใกล้เคียงศาลเจ้ามีน้ำพุร้อนออนเซ็น 3 แห่ง ได้แก่ Yunomine, Kawayu และWataze

1.Wataze onsen มีโรงแรมสำหรับพัก และมีห้องอาบน้ำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น

2.Kawayu onsen เป็นบ่อน้ำออนเซ็นที่ตั้งอยู่ริมน้ำ บ่ออาบน้ำเป็นหลุมที่ขุดบริเวณฝั่งแม่น้ำทำให้น้ำเย็นจากแม่น้ำไหลลงมาผสมรวมกับน้ำพุร้อนจะทำให้น้ำมีอุณหภูมิที่เหมาะสม

3.Yumomine onsen มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แบ่งเป็นห้องอาบน้ำ 2 แห่ง ได้แก่ Tsuboyu ซึ่งถือเป็น UNESCO World Heritage Site อีกแห่งหนึ่งคือโรงอาบน้ำสาธารณะ Yunomine



วัดโอคุโนอิน(Okunoin) เป็นที่ตั้งของสุสานของท่านโคโบ-ไดชิ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกายชินกอน วัดแห่งนี้มีผู้เดินทางมาแสวงบุญจำนวนมากและเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ตรงทางเข้าวัดโอคุโนอิน มีสะพานที่มีชื่อเสียงนั่นคือ "สะพานอิชิโนฮาชิ (Ichinohashi Bridge)" เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้ ก่อนที่จะข้ามสะพานนั้น ควรจะโค้งคำนับก่อนเพื่อแสดงความเคารพแก่ท่านโคโบ-ไดชิ ตามทางเดินไปสู่วัดจะมีหลุมฝั่งศพกว่า 2 แสนหลุมตั้งเรียงรายกันอยู่ โดยส่วนมากจะเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงและขุนนางต่างๆ ด้านในวัดนั้นจะมีภาพวาดจิโซะ (Jizo) ภาพพระโพธิสัตว์ที่ดูแลคุ้มครองเด็กและนักเดินทาง ผู้เข้าชมสามารถที่จะอธิษฐานขอพรให้กับสมาชิกในครอบครัวที่ล่วงลับไปแล้วได้จาก Mizumuke Jizo อีกด้วย


ปราสาทฮิโกเนะ(Hikone Castle) สร้างเสร็จในปี 1622 เป็นปราสาทแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ถูกทำลายในยุคศักดินา ตัวปราสาทหลัก คูเมือง กำแพง บ้านรักษาความปลอดภัย และประตู ยังคงอยู่สภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ยังมีการสร้างอาคารเพิ่มเติมเพื่อจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับปราสาท และระบบศักดินาของญี่ปุ่น ตัวปราสาทมีทั้งหมด 3 ชั้น แต่มีพื้นที่ค่อนข้างเล็ก มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดยการผสมผสานกับสถาปัตยกรรมหลายรูปแบบ ถือปราสาทที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นร่วมกับปราสาทอีก 3 แห่ง ได้แก่ Himejijo, Matsumotojo และ Inuyamajo ชั้นบนสุดของปราสาทสามารถมองเห็นทัศนียภาพเหนือบริเวณปราสาทและเมืองฮิโกเนะ หรือสามารถขึ้นไปบนยอดของปราสาทได้โดยผ่านทางลาดเกลียวของสะพานไม้ นอกจากนี้ยังมีป้อมปราการ ระฆังขนาดใหญ่ที่ใช้ตีบอกเวลาในสมัยก่อน ร้านค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ประตูใหญ่ของปราสาท ฐานเนินปราสาทเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ปราสาทฮิโกเนะ(Hikone Castle Museum) ซึ่งเป็นอาคารที่น่าสนใจเนื่องจากบางส่วนมีรูปแบบการสร้างเหมือนปราสาทหลัก ที่ได้รับการบูรณะใหม่ในช่วงปี 1980 ภายในมีห้องนิทรรศการแสดงสมบัติของครอบครัวตระกูลต่างๆ อาวุธ เกราะ ชุดกิโมโนะ เครื่องดนตรี และเอกสารอื่นๆ บริเวณรอบๆปราสาท มีการปลูกต้นซากุระประดับประดาเป็นที่นิยมในการชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ประมาณต้นเดือนถึงกลางเดือนเมษายนนอกคูเมืองด้านในก็จะเป็นที่ตั้งของสวนเก็นคิวเอน(Genkyuen Garden)



วัดเอนริอาคุจิ(Enryakuji Temple) วัดแห่งนี้เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเท็นได ภายในวัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 แห่ง คือ

1.Todo(พื้นที่ฝั่งตะวันออก) เป็นพื้นที่หลักของวัด อาคารแรกสร้างขึ้นในพื้นที่นี้ คือ ห้องโถง Kompon Chudo และในปี 1937 ก็ได้สร้าง Amida Hall ขึ้นเพิ่มเติม

2.Saito(พื้นที่ฝั่งตะวันตก) มีทางเชื่อมต่อมาจากพื้นที่ Todo ในบริเวณนี้มีห้องโถง Shaka ซึ่งเป็นห้องโถงที่เก่าแก่ที่สุดบนภูเขาแห่งนี้ ถัดไปเป็นห้องโถง Ninai โดยมีระเบียงตรงกลางเชื่อมสองห้องนี้ไว้

3.Yokawa ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ห่างออกไปจากพื้นที่ 2 แห่งข้างต้น ประมาณ 2-3 กิโลเมตร จึงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้าไปชม อาคารหลักในพื้นที่แห่งนี้สร้างบนทางลาดชันโดยใช้เสาค้ำไว้

 







Copyright © 2012 All Rights Reserved.
 

TAT No. 11/09781
บริษัท เจแปน ไกด์ จำกัด

Japan Guide Company Limited

300 ซอยอ่อนนุช 10 ถนนสุขุมวิท แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250
300 Soi Onnut 10, Sukhumvit Road, Suanluang, Suanluang, Bangkok 10250, Thailand
Tel. 02-3312856 (Auto) Fax. 02-7426912
E-mail: admin@japanguide.co.th